เมื่อพูดถึงการลงทุนไม่ว่าจะเป็นการลงทุนระยะสั้นหรือระยะยาวกระบวนการที่สำคัญก่อนการตัดสินใจลงทุนนั่นคือการเสาะหาข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจและสิ่งที่เข้ามามีบทบาทในขั้นตอนนี้นั่นคือการอ่านนั่นเอง ซึ่งเราสามารถแยกประเภทของการอ่านเพื่อการลงทุนได้ 2 ประเภทนั่นคือ
1.การอ่านเพื่อหารูปแบบการลงทุนที่เหมาะสมกับตัวเรา พัฒนาการด้านการลงทุนของมนุษย์นั้นมีสืบต่อกันมายาวนานนับร้อยปี และผ่านการลองผิดลองถูกมาหลากหลายรูปแบบทั้งสำเร็จและล้มเหลวจนแทบจะกล่าวได้ว่าถ้าเรากลับไปพลิกประวัติเพื่อศึกษาและทำความเข้าใจกับรูปแบบการลงทุนต่างๆที่มีผ่านมาเท่ากับเราคงไม่สามารถศึกษามันได้ทั้งหมด นี่ยังไม่นับเวลาที่เรานำเอาวิธีการนั้นๆมาทดลองใช้ซึ่งกว่าจะหาตัวตนเจอเราคงใช้เวลาและเม็ดเงินที่เราหามาทั้งชีวิต และยังต้องแบกรับความเสี่ยงกับการลองผิดลองถูกอีกด้วย
เนื่องเพราะการลงทุนนั้นเปรียบเสมือนกระบวนการที่ผ่านการสั่งสมมานาน เราจึงควรเชื่อคนที่ปลายอุโมงค์มากกว่า สิ่งที่อยากจะแนะนำนักลงทุนหน้าใหม่คืออยากให้ทุกท่านเสาะหาหนังสือที่อธิบายถึงแนวทางในการลงทุนในรูปแบบแตกต่างกันซึ่งมีหลากหลายในท้องตลาด ไม่ว่าจะเป็นของไทยหรือแปลจากต่างประเทศหรือหากใครมีทักษะด้านภาษาก็อาจจะหา Text book เกี่ยวกับการลงทุนมาอ่าน ทำความเข้าใจกับใจความสำคัญและวิธีการประเมินมูลค่าของหุ้น ในขณะเดียวกันก็ให้ถามตัวเองไปด้วยว่าตัวเราเหมาะที่จะลงทุนแนวไหน ตรงนี้ผมถือว่าเป็นจุดสำคัญเพราะมันจะเป็นคำถามที่ตัวเราเท่านั้นที่จะตอบตัวเองได้ดีที่สุดเนื่องเพราะปัจจัยหรือตัวแปรด้านต่างๆนั้น เช่น จำนวนเงินลงทุน สภาวะทางจิตใจ ความถนัดเฉพาะตัว วินัย สิ่งต่างๆเหล่านี้ตัวเราเท่านั้นเป็นผู้รู้ดีที่สุด
อย่างเช่นแนวทางการวิเคราะห์หุ้นของบรรดากูรูทั้งหลายก็แตกต่างกันไปเช่น ปีเตอร์ ลินซ์,
วอเรน บัฟเฟตต์, จอห์น เนฟ, ไมเคิล ไพรซ์, จอร์จ โซรอท, เบนจามิน เกรแฮม หากเป็นแนวหน้าของไทยก็คือ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรากร เป็นต้น ในรายละเอียดจะพบว่าแม้จะเป็นการลงทุนระยะยาวหรือสั้นเหมือนกันนั้น ส่วนปลีกย่อยหรือ Road map ในการคัดเลือกหุุ้นของแต่ละคนก็แตกต่างกันไป ถ้าให้ผมแนะนำก็อยากจะบอกว่าอันไหนที่เราอ่านแล้วเราเข้าใจและมั่นใจว่าจะนำไปประยุกต์ใช้กับตัวเองได้ก็ให้เลือกแนวทางนั้นแหละเป็นก้าวแรก
2.การอ่านเพื่อวิเคราะห์ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในรูปแบบไหน สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยนั่นคือการเจาะลึกลงไปในรายละเอียดของแต่ละบริษัทที่เรากำลังพิจารณาอยู่ และสิ่งที่จะนำพาเราไปเข้าใจกับบริษัทได้ดีที่สุดนั้นคงหนีไม่พ้น รายงานประจำปี และ งบการเงิน
พอพูดมาถึงตรงนี้หลายคนร้องยี้ เพราะมันเป็นการไปทำความเข้าใจกับตัวเลขและรายละเอียดของรายรับ ร่ายจ่าย กำไร ขาดทุน กระแสเงินสด ของแต่ละบริษัท แต่จริงๆแล้วสิ่งเหล่านี้มันคือทักษะที่นักลงทุนทุกท่านต้องมีติดตัวไว้เพราะมันทำให้เรามองเห็นภาพรวมสุขภาพทางการเงินของบริษัทรวมทั้งเป็นตัวแปรที่เข้ามาชี้ชะตาเราว่าการลงทุนครั้งนี้เราจะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว
อีกทั้งมันยังเป็นตัวที่ช่วยให้เราติดตามการดำเนินงานของบริษัทแต่ละไตรมาสเป็นอย่างดี และจะช่วยให้เราตัดสินใจบนพื้นฐานของข้อมูลที่ถูกต้องโดยลดภาวะการตัดสินใจทางอารมณ์ที่ทำให้เราไขว้เขวได้เป็นอย่างดี
หลายคนอาจมีคำถามว่าราคาหุ้นมันวิ่งขึ้นวิ่งลงทุกวัน ถ้าหากมัวมานั่งอ่านหรือวิเคราะห์งบการเงินเห็นจะไม่ทันกิน ประเด็นนี้ผมไม่ปฏิเสธว่ามันเสียเวลา แต่นั่นมันเป็นการเสียเวลาสำหรับการเล่นพนันกับตลาดมากกว่า ไม่ใช่เป็นการเสียเวลากับการลงทุนนะครับ
ไม่ว่าจะเป็นแนวทางการลงทุนแบบต่างๆหรือการวิเคราะห์งบการเงินเบื้องต้นนั้นผมตั้งใจว่าจะทยอยเขียนอธิบายให้เพื่อนๆใน Blog นี้ (เท่าที่ผมรู้) ในโอกาสต่อไป รอติดตามกันนะครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น